วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ไฟฟ้ากระแส (Dynamic Electricity)

เป็นไฟฟ้าที่สามารถส่งให้ไหลไปในตัวนำได้ ได้แก่ ไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายของการไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซลล์ไฟฟ้า เป็นต้น ไฟฟ้ากระแสแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) ไฟฟ้ากระแสตรง หรือไฟฟ้า DC เป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลทางเดียวตลอดและมีขนาดหรือปริมาณค่อนข้างคงที่ มีขั้วบาก ลบ แน่นอน ซึ่งแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือก. ไฟฟ้ากระแสตรงแบบราบเรียบ (Pure DC) เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่ขนาดคงที่สม่ำเสมอ ได้จาก แบตเตอรี่ เซลล์ไฟฟ้า เป็นต้น
ข. ไฟฟ้ากระแสตรงแบบกระเพื่อม (Steady DC) เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่มีการกระเพื่อมของแรงดัน ซึ่งได้จาก DC-Generator เป็นต้น




ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternatingt Current) ไฟฟ้ากระแสตรง หรือไฟฟ้า AC เป็นไฟฟ้าที่มีขนาดและทิศทางการไหลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังแสดงในรูป

จากรูปจะเห็นว่าแต่ละเวลา (time ที่ 0,1,2,3,.....) ที่ผ่านไปขนาดของแรงดัน จะเปลี่ยนไปตลอดเวลา คือจะเปลี่ยนจาก 0 Volt ที่ time 0 แรงดันจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนสูงสุดทางบวก ที่ time 3 แล้วก็จะลดลงมาที่ 0 Volt อีก ขณะเดียวกันก็จะกลับขั้วการไหล (กระแสจะไหลย้อนกลับ) และมีแรงดันเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน (ทางขั้วลบ) สลับหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงของแรงดันในทางบวกหนึ่งครั้งและทางลบหนึ่งครั้ง รวมเรียกว่า 1 Cycle การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้ง (Cycle) ใน 1 วินาที สำหรับไฟฟ้ากระแสสลับที่เราใช้กันอยู่ตามอาคารบ้านเรือน จะเปลี่ยนแปลง 50 Cycle ต่อวินาที เราเรียนจำนวนการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ความถี่ไฟฟ้ากระแสสลับ (Frequency) 50 cycle/sec หรือ 50 Herze (Hz)

ไฟฟ้าคืออะไร
ไฟฟ้าเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เป็นส่วนประกอบที่มีอยู่ในวัตถุธาตุทุกชนิด วัตถุธาตุชนิดต่างๆที่มีอยู่ในโลกประกอบด้วยอนุภาคเล็กๆ เรียกว่า “อะตอม” ในแต่ละอะตอมประกอบด้วยโปรคอน นิวตรอนและอิเล็กตรอนอยู่มากมาย สำหรับโปรคอนและนิวตรอนนั้นอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ส่วนอิเลคตรอนนั้นสามารถ “เคลื่อนไหว” จากอะตอมหนึ่งไปยังอีกอะตอมหนึ่งได้ การเคลื่อนไหวจากอะตอมหนึ่งไปยังอีกอะตอมหนึ่งของอิเลคตรอน นี้เอง คือสิ่งที่เราเรียกว่า ไฟฟ้าไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน (Electrons) ที่ไม่ได้สมดุลกันของแต่ละอะตอม( Atom) ของสสาร อะตอม 1 อะตอมจะประกอบไปด้วยประจุไฟฟ้า 2 ชนิด นั่นก็คือประจุไฟฟ้าที่ เรียกว่า อิเล็กตรอน ซึ่งเป็นประจุไฟฟ้าลบ ( Negative charge) และประจุไฟฟ้าที่ เรียกว่า โปรตอน ซึ่งเป็นประจุไฟฟ้าบวก ( Positive charge) และจะมีนิวตรอน( Neutrons) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกลางทางไฟฟ้า รวมกันเป็นแกนกลางของโครงสร้างของอะตอมนั้นรวมเรียกกันว่า นิวเคลียส ( Nucleus) ซึ่งในแต่ละอะตอมจะมีจำนวนของอิเล็กตรอนและโปรตอนไม่เท่ากัน อิเล็กตรอนจะโคจรอยู่ชั้นนอกสุดและดึงดูดกันกับ โปรตรอน ซึ่งจะมีความสมดุลกัน ถ้าเป็นสภาพตามนี้แล้วอิเล็กตรอนจะไม่มีการเคลื่อนหลุดออกจากวงโคจรนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าเราได้ทำการส่งแรงกระทำจากภายนอกเข้าไปยังอะตอม ซึ่งจะทำให้อิเล็กตรอนหลุดจากวงโคจรได้ เมื่ออิเล็กตรอนหลุดความไม่สมดุลของอะตอมจะเกิดขึ้นทำให้มีการดึงดูดอิเล็กตรอนจากอะตอมใกล้เข้ามาเสริมให้ครบตลอดเวลา ดังนั้นจึงเกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากอะตอมหนึ่งไปยังอะตอมหนึ่งนั่นเอง การเกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนตามนี้จะทำให้เกิดมีการไหลของกระแสอิเล็กตรอนเกิดขึ้น เราจึงเรียกว่า กระแสอิเล็กตรอน และแรงกระทำภายนอกนั้นเราเรียกว่า แรงดันไฟฟ้า

ไฟฟ้าไหลอย่างไร
ปกติไฟฟ้าจะไหลไปตามเส้นลวดที่เรียกว่า “ตัวนำไฟฟ้า” และไหลติดต่อครบรอบหรือครบวงจร เริ่มต้นจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แล้วไหลไปตาสายจนถึงหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งจะแปลงแรงดันให้สูงขึ้นหรือลดลงแล้วแต่กรณี และไฟฟ้าจะไหลจากหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งจะแปลงแรงดันให้สูงขึ้นหรือลดลงแล้วแต่กรณี ไฟฟ้าจะไหลจากหม้อแปลงข้าไปถึงอาคารบ้านเรือนซึ่งใช้ไฟฟ้า แล้วไฟฟ้าจะไหลหลับไปตามสายอีกเส้นหนึ่งที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และ หม้อแปลงจะมีการต่อสายลงดินไว้สำหรับเป็นทางให้ไฟฟ้า ไหลกลับได้ครบวงจร ในกรณีที่สายเส้นใดเส้นหนึ่งขาดตัวนำทางไฟฟ้า หมายถึงสสารที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าฟ้าไหลผ่านได้อย่างง่าย ตัวนำที่มีคุณภาพสูงซึ่งจะทำให้การไหลของกระแสไฟฟ้าไปได้อย่างดีเยี่ยมนั้น ได้แก่ ทองคำ , เงิน , ทองแดง ทองเหลือง ฯลฯ เนื่องจากทองคำมีราคาแพงมาก เงินจึงจัดเป็นตัวนำที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ และทองแดงเป็นตัวนำที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีราคาถูกและก็สามารถใช้งานได้ทั่วๆ ไปอย่างไม่เกิดปัญหาการต้านของกระแสมากนัก

แหล่งกำเนิดไฟฟ้า
ไฟฟ้าเกิดขึ้นได้จากแหล่งกำเนิดแตกต่างกัน แยกออกได้เป็น 6 วิธีดังนี้1. เกิดจากการเสียดสี2. เกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี3. เกิดจากความร้อน4. เกิดจากแสงสว่าง5. เกิดจากแรงกดดัน6. เกิดจากสนามแม่เหล็ก

ประเภทของกระแสไฟฟ้า
ไฟฟ้ามี 2 ชนิดคือ1. ไฟฟ้าสถิต2. ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าสถิตเรียกว่า สแตติค อิเล็กตริกซิตตี้ (Static Electricity) ไฟฟ้าที่อยู่นิ่งไม่มีการเคลื่อนที่ เกิดได้จากการนำสารต่างชนิดกันมาถูกัน จึงทำให้อิเลคตรอนที่ อยู่ในวงโคจรของสารทั้งสองชนิดมาชนกัน ทำให้สารชนิดหนึ่งสูญเสียอิเลคตรอนไปให้กับสารอีกชนิดหนึ่ง สารที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่ายคือ แก้วอำพันยางแข็ง ขี้ผึ้ง สักหลาด เรยอน ไนลอน สารใดจะมีประจุบวกหรือลบนั้นขึ้นอยู่กับเอาสารชนิดใดมาถูกันถ้าสารชนิดหนึ่งเสียอิเลคตรอนไปตัวมันเองจะมีประจุบวก และสารใดที่รับอิเลคตรอนเพิ่มขึ้นมาสารนั้นจะมีประจุลบ ประจุที่ต่างกันย่อมดูดกัน ประจุเหมือนกันย่อมผลักกัน การถ่ายเทประจุให้แก่กันระหว่างสาร 2 ชนิด ถ้าหากประจุมีมาก การถ่ายเทให้กันย่อมจะเกิดเสียงดัง เช่น ฟ้าร้อง หรือฟ้าผ่าเราสามารถผลิตไฟฟ้าสถิตได้ เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิตย์ของกรัฟ(Vande Graff Static Generator) ประโยชน์ของไฟฟ้าสถิตย์คือ เอาไปใช้ในเรื่องการของการพ่นสี กรอง ฝุ่นและเขม่าออกจากควันไฟ การทำกระดาษทราย เป็นต้น

ไฟฟ้ากระแสตรง
ไฟฟ้ากระแสตรง คือ กระแสไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลไปในทางเดียวกันตลอดเวลา โดยมีขนาดของกระแสและแรงดันคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีขั้วไฟบวกและลบคงที่ ใช้ป้อนจ่ายให้แก่อุปกรณ์เครื่องใช้อิเลกทรอนิกส์ต่างๆ อาจจะเกิดจากการแปลงกระแสไฟสลับเป็นกระแสตรงโดยวงจรเร็คติฟลาย หรืออาจเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี เช่นแบตเตอรี่ หรืออาจเกิดจากการได้รับการแปรสภาพจากแสงสว่างให้เป็นกระแสไฟก็ได้ไฟฟ้ากระแสสลับ คือกระแสไฟฟ้าที่เปลี่ยนทิศการไหลตลอดเวลา โดยมีขนาดของกระแสและแรงดันเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกันตลอดเวลา จะเป็นไฟฟ้าที่มีการไหลของกระแสกลับทิศทางตลอดเวลาใน 1 วินาที การกลับทิศทางหมายถึงการกลับขั้วไฟบวก 1 ครั้งและขั้วไฟลบ 1 ครั้ง สลับกันโดยทำมุม360องศาเรียกว่า 1 รอบ กระแสไฟฟ้าสลับในเมืองไทยจะมีการสลับทิศทางกันตามที่กล่าวนี้จำนวน 50 รอบต่อ 1 วินาที เรียกว่า 50 เฮิร์ท( Herz) มีหน่วยเป็น แอมแปร ( Amp)

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้าครัฟฟฟ

การเคลื่อนของอนุภาพแม่เหล็กไฟฟ้า



F=qvB เมื่อ F = เป็นแรงกระทำต่ออนุภาคไฟฟ้า q ที่เคลื่อนที่ด้วนความเร็ว v ในทิศ ตั้งฉากกัลสนามแม่เหล็ก B
F= มีหน่วยเป็น นิวตัน (N)
B=มีหน่วยเป็น เทสลา (T:Tesla)
q= มีหน่วยเป็น คูลอมบ์ (C)
v= มีหน่วยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
ค่าของแรง F จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
1. ถ้าประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ในทิศขนานกับสนามแม่เหล็ก จะทิศเดียวกันหรือตรงกันข้ามก็ได้ประจุไฟฟ้าไม่ถูกแรงสนามแม่เหล็กกระทำ แรง F มีค่าเป็น 0
2. ถ้าประจุหยุดนิ่ง ประจุไฟฟ้าจะไม่ถูกแรงจากสนามแม่เหล็กกระทำ แรง F มีค่าเป็น 0
3. ถ้าประจุเคลื่อนที่ในสนามแม่เหล็ก โดยมีทิศการเคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก ประจุไฟฟ้าจะถูกแรงจากสนามแม่เหล็กกระทำมีค่ามากที่สุด
Prev:
การหาทิศของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นในขดลวดโซเลนอยด์ Next: แรงกระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งเคลื่อนที่ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก ภาค 2

สนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็ก


เราอาจเข้าใจสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจะสร้างสนามไฟฟ้า และทำให้เกิดแรงไฟฟ้าขึ้น แรงนี้ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต และทำให้เกิดการไหลของประจุไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้า) ในตัวนำขึ้น ขณะเดียวกัน อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ จะสร้างสนามแม่เหล็ก และทำให้เกิดแรงแม่เหล็กต่อวัตถุที่เป็นแม่เหล็ก
คำว่า "แม่เหล็กไฟฟ้า" มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ถ้ากฏของฟิสิกส์จะเหมือนกันใน ทุก
กรอบเฉื่อย การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก ทำให้เกิดสนามไฟฟ้า (เรียกว่าการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ปรากฏการณ์นี้เป็นพื้นฐานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้านั่นเอง) ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า ก็ทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก
เนื่องจาก สนามทั้งสองไม่สามารถแยกจากกันได้ จึงควรรวมให้เป็นอันเดียวกัน
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ เป็นผู้รวมสนามไฟฟ้ากับสนามแม่เหล็กเข้าด้วยกันด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ เพียงสี่สมการ ที่เรียกว่า สมการของแมกซ์เวลล์ ทำให้เกิดการพัฒนาฟิสิกส์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19เป็นอย่างมาก และนำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น แสงนั้น อธิบายได้ว่าเป็นการสั่นของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่กระจายออกไป หรือเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั่นเอง ความถี่ของการสั่นที่แตกต่างกันทำให้เกิดรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างกัน เช่น คลื่นวิทยุเกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำ แสงที่มองเห็นได้เกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ปานกลาง รังสีแกมมาเกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง
ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในปี ค.ศ. 1905


ฟลักซ์แม่เหล็ก(Magnetic Flux)

คือ จำนวนเส้นแรงแม่เหล็ก ในบริเวณหนึ่งๆ มีหน่วยเป็นเวเบอร์(Weber, Wb) ในระบบ SI หน่วยของ B เป็น เทสลา(Tesla, T) 1 T=1 Wb/m2 ***บางครั้งใช้หน่วยเป็น เกาส์(Gauss) เมื่อ 1 G = 10-4 T
ความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็ก และความเข้มสนามแม่เหล็ก








วันนี้(14 สิงหาคม 2552)ใครที่เปิดเว็บไซต์ google ขึ้นมา คงจะเห็นโลโก้ google แปลกตาไปจากทุกวัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของ ฮานส์ คริสเตียน เออร์สเตด ผู้ค้นพบกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากสนามแม่เหล็ก ว่าแล้ว วันนี้กระปุกนำความรู้เรื่องนี้มาบอกกันค่ะ ฮานส์ คริสเตียน เออร์สเตด (Hans Christian Oersted) เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2320 เขาเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ ประจำมหาวิทยาโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เออร์สเตดค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กด้วยความบังเอิญ ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2363 ขณะบรรยายวิชาฟิสิกส์ในหัวข้อ คุณสมบัติของกระแสไฟฟ้า (Electricity, Galvanism and Magnetism) โดยมีอุปกรณ์ในการทำการทดลองประกอบการบรรยาย คือ แบตเตอรี่ สายไฟ และเข็มทิศ เออร์สเตดได้ทำการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เข็มทิศจะเบนเมื่อมีฝนตกหนักและฟ้าแลบ เพื่อลองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเข็มทิศ ถ้าผ่านกระแสไฟเข้าไปในลวดตัวนำ เขานำลวดตัวนำตั้งฉากกับเข็มทิศและพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากการบรรยายสิ้นสุด เออร์สเตดลองวางลวดตัวนำขนานกับเข็มทิศ และผ่านกระแสไฟฟ้าไปในลวดตัวนำ กลับพบว่าเข็มทิศกระดิก และเริ่มเบน การค้นพบนี้ทำให้เออร์สเตดเป็นบุคคลแรกที่ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและแม่เหล็ก หรือนำไปสู่ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างแม่เหล็กกับไฟฟ้า (Electro Magnetism Theory) ต่อมาในวันที่ 11 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง การค้นพบของเออร์สเตดได้ถูกไปนำเสนอที่ราชสมาคมฝรั่งเศส โดย โดมินิก ฟร็องซัวส์ ฌอง อราโก (Dominiqiue Francois Jean Arago) เขาระบุว่าการค้นพบนี้สำคัญไม่น้อยไปกว่าการค้นพบไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษอีกหลายคนที่พยายามแข่งขันเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เออร์สเตดค้นพบ โดยเฉพาะนักทดลองชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ ฌอง แบพติสท์ บิโอต์ (Jean Baptiste Biot) และ เฟลิกซ์ ซาวาร์ (Felix Savart) เป็นนักฟิสิกส์คนแรกๆ ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างละเอียดได้ นับได้ว่าการค้นพบของ ฮานส์ คริสเตียน เออร์สเตด ได้จุดประกายที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามค้นพบเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึง อังเดร มารี แอมแปร์ (Andre Marie Ampere) ผู้ค้นพบทฤษฎีแม่เหล็กโลก ด้วย

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552